มหากาพย์ ยางสองรัฐบาล ค้างสต็อก 1.8 หมื่นตัน มหาอุทกภัยทุบซ้ำ รอขายตามสภาพ
ฐานเศรษฐกิจ
18 ธ.ค. 2568 | 05:30 น.

มหากาพย์โปรเจ็กต์ยาง 3 หมื่นล้านในสองรัฐบาล “ประยุทธ์–ยิ่งลักษณ์” เหลือยางค้างโกดัง 1.8 หมื่นตัน กยท.เตรียมชงรัฐบาลใหม่ไฟเขียว โอดมหาอุทกภัย 300 ปีภาคใต้ทุบซ้ำ ทำยางเสียหายนับหมื่นตัน คาดต้องขายตามสภาพ-ขายเหมา ให้รัฐขาดทุนน้อยสุด
จาก เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ เรื่องขยายระยะเวลาดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง (โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรฯ) และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง (โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนฯ) ออกไปจากเดิมวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2569 และขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนฯ ออกไปจากเดิมวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2569 ตามความเห็นกระทรวงการคลัง
มหากาพย์ ยางสองรัฐบาล ค้างสต็อก 1.8 หมื่นตัน มหาอุทกภัยทุบซ้ำ รอขายตามสภาพ
นายเพิก เลิศวังพง รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงแนวทางการแก้ปัญหาราคายางพาราที่ตกตํ่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้รัฐบาลต้องเข้ามาแทรกแซงเพื่อยกระดับราคายางพาราใน 2 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง (รัฐบาลยิ่งลักษณ์) โดยกำหนดราคายางแผ่นดิบคุณภาพ 3 ชี้นำตลาด กิโลกรัม (กก.) ละ 120 บาท ซื้อยางรวม 212,916 ตัน มูลค่า 21,069.9 ล้านบาท เฉลี่ย กก. ละ 98.94 บาท
2.โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง หรือบัฟเฟอร์ฟันด์ (รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ดำเนินตามมติ ครม. มีเป้าหมายซื้อยางชนิดต่าง ๆ โดยกำหนดราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 ซื้อชี้นำตลาด กก. ละ 60 บาท ซื้อยางรวม 148,799 ตัน มูลค่า 8,889.3 ล้านบาท เฉลี่ย กก. ละ 59.74 บาท รวมปริมาณยาง 2 โครงการ 3.7 แสนตัน ที่ผ่านมา หลายบริษัทเคยสนใจมาซื้อ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ มีอันต้องยกเลิกสัญญา อีกทั้งยังเป็นภาระของรัฐบาลต้องแบกสต็อกและค่าเช่าโกดังเก็บสินค้ามาจนถึงทุกวันนี้ โดยไม่สามารถเรียกค่าเสียหายได้ เพราะทั้ง 2 บริษัทคู่สัญญาอยู่ต่างประเทศ
มหากาพย์ ยางสองรัฐบาล ค้างสต็อก 1.8 หมื่นตัน มหาอุทกภัยทุบซ้ำ รอขายตามสภาพ
เริ่มจาก บริษัท ไชน่าไห่หนาน รับเบอร์ อินดัสทรี กรุ๊ป จำกัด (บจก.) จากจีน สนใจซื้อขายยางในทั้ง 2 โครงการ ใช้งบประมาณ 3.16 หมื่นล้านบาท ปริมาณยางรวม 4.08 แสนตัน (ณ ขณะนั้น ไทยมียางในสต็อกแค่ 2.08 ตัน แต่ในสัญญาต้องซื้อยางใหม่อีก 2 แสนตัน จึงทำให้องค์การสวนยาง หรือ อสย. ในขณะนั้น ได้กว้านซื้อยางจากเกษตรกรป้อนให้กับไชน่าไห่หนาน รับเบอร์ ซึ่งทางบริษัทฯ รับมอบไปเพียงกว่า 3 หมื่นตันเท่านั้น ทำให้เป็นที่มาของสต็อก 3.7 แสนตัน)
มหากาพย์ ยางสองรัฐบาล ค้างสต็อก 1.8 หมื่นตัน มหาอุทกภัยทุบซ้ำ รอขายตามสภาพ
นายเพิกกล่าวอีกว่า ปัจจุบันยังเหลือสต็อกยางพาราในโกดัง 4 แห่ง จำนวนกว่า 1.8 หมื่นตัน มูลค่ากว่า 1,237 ล้านบาท ได้ขายให้กับบริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์ เทรด จำกัด จากปริมาณยางทั้งหมด 27,051 ตัน ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การระบายสต็อกยางที่คณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทยเห็นชอบ และบริษัทได้รับมอบยางไปแล้วบางส่วน ต่อมาภายหลังบริษัทไม่มารับมอบยางส่วนที่เหลือ และขอขยายระยะเวลารับมอบถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561 แต่ผิดนัดไม่มารับมอบ ต่อมาบริษัทดังกล่าวถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องล้มละลาย และศาลได้พิทักษ์ทรัพย์ พร้อมมีคำสั่งศาลให้ กยท. นำยางออกมาขายได้ เนื่องจากรายการนี้ไม่ปรากฎอยู่ในทรัพย์สินของลูกหนี้
“ขณะนี้ต้องรอรัฐบาลใหม่เข้ามาดำเนินการ เพราะการขายยางจะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ความเห็นชอบ ซึ่งต้องขออนุมัติไว้ก่อน อย่างไรก็ดี เวลานี้ยางพาราในสต็อกมีปัญหาหนัก จากมหาอุทกภัยในรอบ 300 ปี ทำให้สินค้าได้รับความเสียหายประมาณ 1 หมื่นตัน จากเดิมการเก็บยางไว้ในสต็อกมานาน 13 ปี ส่งผลให้ยางเสื่อมสภาพไปในระดับหนึ่งแล้ว”
ล่าสุดได้สั่งการเจ้าหน้าที่ไปสำรวจว่ายางในโกดังมีครบตามจำนวนหรือไม่ มีสภาพยางเหลือกี่เปอร์เซ็นต์ และจะประเมินเพื่อแบ่งกองขายตามสภาพ และขายเหมา เพื่อให้รัฐและเกษตรกรได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากหากขายขาดทุนมาก จะทำให้รัฐบาลต้องชดเชยการขาดทุนมากขึ้น จากปัจจุบัน กยท. ยังติดหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กว่า 825 ล้านบาท ขณะนี้ยืนยันว่ายังไม่ขาย เพราะกังวลว่าจะมีผลกระทบต่อตลาด
อนึ่ง สำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา รายงานราคายางพารากลางเปิดตลาด ประจำวันที่ 2 ธันวาคม 2568 นํ้ายางสด ราคา 55.50 บาทต่อกิโลกรัม ปรับลง 50 สตางค์, ยางก้อนถ้วย (DRC 100) ราคา 53 บาท ปรับลง 75 สตางค์, ยางก้อนถ้วย (DRC 50) ราคา 26.50 บาท ปรับลง 37.5 สตางค์, ยางแผ่นดิบ ราคา 58.50 บาทต่อกิโลกรัม ปรับลง 50 สตางค์ และยางแผ่นรมควันชั้น 3 (ไม่อัดก้อน) ราคา 61 บาทต่อกิโลกรัม ปรับลง 50 สตางค์
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,158 วันที่ 18 - 20 ธันวาคม พ.ศ. 2568